พริกหวาน
          พริกเม็ดโตสีสันสดใส มีลักษณะกลมยาว หลายครัวเรือนนิยมนำมาผัดเพราะไม่มีรสเผ็ด เนื่องจากมีสารแคปไซซินในปริมาณที่ตํ่ามากจนถูกเรียกว่าพริกหวาน

ประโยชน์ของพริกหวาน

          พริกหวานมีเบตาแคโรทีนสูง มีวิตามินซี เหล็ก และโพแทสเซียม ซึ่งพริกหวานสีเหลืองจะมีไวตามินมากกว่าพริกหวานสีส้มถึง 4 เท่า ในพริกสีเขียว 100 กรัมก็จะมีไวตามินซี 100 กรัมเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีสาร แคบไซซิน ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือด โรคต้อกระจก และโรคมะเร็ง
ในหนึ่งเมนูของวัน ถ้ามีพริกหวานเป็นส่วนประกอบก็จะช่วยกระตุ้นทางการทำงานของกระเพาะอาหาร ทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขั้น ช่วยเจริญอาหารบำรุงธาตุ ขับเหงื่อ ขับลม ขับเสมหะ แก้อาเจียน แก้หิด กลากเกลื้อน และสามารถลดความด้นโลหิตได้ เพราะทำให้หลอดเลือดอ่อนตัว และช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดเป็นไปได้ดี

สภาพแวดล้อมการปลูก พริกหวาน (Sweet Pepper)

          พริกหวาน ชอบสภาพที่มีความชื้นต่ำ จะทำให้อัตราการติดผลลดลง อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการผสมเกสรอยู่ระหว่าง 20-25 องศา มีความชื้นสัมพัทธ์สูง ใสสภาพอุณหภูมิต่ำกว่า 18 องศา หรือสูงกว่า 32 องศา จะจำกัดการผสมเกสร อัตราการติดผลต่ำ พริกหวานสามารถเจริญเติบโตได้ดี ในดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี และมีค่าความเป็นกรดด่างอยู่ระหว่าง 6.0-6.8

การปฏิบัติดูแลรักษา พริกหวาน ระยะต่างๆ ของการเจริญเติบโต

การเตรียมกล้า ทำการยกแปลงขนาด 1 ม. ย่อยดินให้ละเอียด แปลงห่างกัน 70 ซม. ร่องลึกประมาณ 10 ซม. ทำขวางแปลงความห่างระหว่างร่อง 10 ซม. รองพื้นด้วยไตรโคเดอร์ม่า หว่านเมล็ดแล้วกลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม หรือคลุมด้วยตาข่ายพลาสติก หลังจาก 7-10 วัน ย้ายกล้าลงในหลุม

การเตรียมดิน ขุดดินทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ เก็บวัชพืชออกให้หมด ย่อยดิน แล้วใส่ปูนขาวคลุกเคล้าร่วมกับปุ๋ยคอก และปุ๋ยสูตร 0-4-0 ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ควรใส่โดโลไมด์อัตรา 100-150 กรัม/ตร.ม.

การปลูก ทำแปลงกว้าง 1 ม. เว้นร่องน้ำ 70 ซม. ระยะห่างระหว่างหลุม 40-50 ซม. เวลาปลูกรองพื้นด้วยปุ๋ยสูตร 15-15-15 ผสมคลุกเคล้ากัน ควรใส่โดโลไมด์ อัตรา 100-150 กรัม/ตร.ม.

การให้น้ำและปุ๋ย ควรให้ปุ๋ยพร้อมน้ำระบบ Fertigation ในอัตราดังนี้
ระยะที่ 1     ปุ๋ย 46-0-0     1 ส่วนน้ำหนัก
    ปุ๋ย 20-20-20     1.2 ส่วนน้ำหนัก
    หรือ สูตรใกล้เคียง อัตราใช้ 0.25-1 กรัม/ตร.ม./วัน
ระยะที่ 2     ปุ๋ย 46-0-0     1 ส่วนน้ำหนัก
    ปุ๋ย 20-20-20     1.2 ส่วนน้ำหนัก
    หรือ ปุ๋ย 20-10-30 หรือ ปุ๋ยสูตรใกล้เคียง อัตรา 1-3 กรัม/ตร.ม./วัน หรือมากกว่า
ระยะที่ 3     ปุ๋ย 0-0-51     1 ส่วนน้ำหนัก
    ปุ๋ย 20-10-30     5 ส่วนน้ำหนัก
    หรือ ปุ๋ย 20-10-30 หรือ ปุ๋ยสูตรใกล้เคียง อัตรา 3 กรัม/ตร.ม./วัน หรือมากกว่า

การเก็บเกี่ยวพริกหวาน
พันธุ์สีเขียวเก็บเกี่ยวเมื่อผลผลิตผิวเรียบ และแห้ง ใช้กรรไกรตัดตรงขั้ว พันธุ์สีแดงและเหลือง เก็บเกี่ยววิธีเดียวกับพันธุ์สีเขียว แต่เก็บเกี่ยวเมื่อผลเริ่มมีสีได้มากกว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์

โรคแมลงศัตรูที่สำคัญ พริกหวาน Sweet Pepper, Bell Pepper, Capcicum, ในระยะต่างๆ ของการเจริญเติบโต
ระยะกล้า 18-21 วัน โรคที่พบ เช่น
โรคเหี่ยว, โรคใบจุด, โรคไวรัส, โรครากปม,
ระยะย้ายปลูก-ตั้งตัว 21-28 วัน  โรคที่พบ เช่น
แอนแทรคโนส, โรคเหี่ยว, โรคราแป้ง, โรคใบจุด, โรคเน่าเปียก, โรคไวรัส, โรคใบไหม้, โรครากปม, ไรขาว,
ระยะเจริญเติบโต 50-60 วัน โรคที่พบ เช่น
แอนแทรคโนส, โรคเหี่ยว, โรคราแป้ง, โรคใบจุด, โรคเน่าเปียก, โรคไวรัส, โรคใบไหม้, โรครากปม, ไรขาว,
ระยะเก็บเกี่ยว 90-100 วัน  โรคที่พบ เช่น
แอนแทรคโนส, โรคเหี่ยว, โรคราแป้ง, โรคใบจุด, โรคเน่าเปียก, โรคไวรัส, โรคใบไหม้, โรครากปม, ไรขาว, แมลงวันแตง,
Read more >>


มันสำปะหลังเป็นพืชเศรษฐกิจอีกอย่างหนึ่งของประเทศไทยที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ก่อนอื่นเรามารู้จักประโยชน์ของมันสำปะหลังก่อน แล้วค่อยมาเรียนรู้วิธีปลูกมันสำปะหลัง

มันสำปะหลังเป็นพืชที่ใช้ประโยชน์ได้ทุก ๆ ส่วน ตั้งแต่ยอดจนถึงราก (หัวมัน) มีการนำมาใช้ประโยชน์ในครัวเรือน เพื่อการบริโภคเป็นอาหารมนุษย์ และอาหาร สัตว์ และใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อการ
ใช้ประโยชน์ กับมนุษย์และสัตว์ ในหลาย ๆ รูปแบบ ตลอดทั้งใช้ในอุตสาหกรรมแป้งแปรรูป (Modified Starch) ใช้ประโยชน์อุตสาหกรรมต่างๆได้มากมายหลายชนิดและในวงการแพทย์ จึงกล่าว ได้ว่าการใช้
ประโยชน์จากมันสำปะหลังแยกได้ 3 ประเภท คือ บริโภคโดยตรง แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ (มันเส้น มันอัดเม็ด และแป้งมัน) และแป้งมันสำปะหลังแปรรูป (ทางเคมีและกายภาพใช้ประโยชน์ในระดับอุตสาหกรรมต่าง ๆ )

1. ใช้ประโยชน์บริโภคโดยตรง

1. หัวมันสด
ก. ใช้เป็นอาหารมนุษย์โดยตรง เช่น นึ่ง ย่าง อบ เชื่อม และหั่นฝอยคลุกน้ำมันหรือเครื่องเทศแล้วทอด หรือนำมาทำเป็นแป้งและแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่าง ๆ ตลอดจนนำมาฝานเป็นแผ่นบาง ๆ (Chip) แล้วทอด
ข. ใช้เป็นอาหารสัตว์ ทั้งที่เป็นหัวสด กากที่เหลือจากการทำแป้งและเปลือกของหัว

2. ใบ
ก. ใช้เป็นอาหารมนุษย์ รับประทานเป็นผักสด โดยต้มจิ้มน้ำพริก นำมาแกง (ห่อหมก) ปรุงเป็นซุป
ข. ใช้เป็นอาหารสัตว์ ในรูปใบสด นำมาตากแห้งป่นผสมกับอาหารข้นเลี้ยงสัตว์ และเป็นอาหารผสม

3. ลำต้น
ก. ใช้ทำเป็นท่อนพันธุ์ นำไปปลูก
ข. ใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยตัดลำต้นส่วนยอดผสมกับใบสดใช้เลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้อง ตากแห้งเป็นอาหารหยาบ
ค. ใช้ทำรั้วบ้านรั้วสวนและล้อมคอกสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านในชนบท

4. เมล็ด
ใช้สกัดน้ำมันที่มีคุณภาพดีสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยาได้

2.ใช้ประโยชน์โดยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ (มันเส้น มันอัดเม็ด และแป้งมัน)

1.อุตสาหกรรมมันเส้น
การแปรรูปที่ใกล้ตัวมากที่สุด คือ การทำมันเส้น เมื่อเก็บเกี่ยวหัวมันสดแล้ว ก็จะนำส่งลานมัน ซึ่งเกษตร กรบางรายมีลานของตัวเอง ก็จะทำการแปรรูป โดยใช้ เครื่องตัดหัวมันเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปตากบน
ลานซีเมนต์ เมื่อแห้งดีแล้วก็ทำการเก็บ เพื่อส่งขายเป็นวัตถุ ดิบให้กับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ หรือ อุตสาหกรรมสัตว์ หรืออุตสาหกรรมมันอัดเม็ดต่อไป ปกติ 2.5 กิโลกรัม จะผลิตเป็น มันเส้นได้ 1 กิโลกรัม

2.อุตสาหกรรมมันอัดเม็ด
มันอัดเม็ดหรือที่เรียกว่า มันเม็ด ผลิตโดยการอัดมันเส้น โดยเครื่องอัดภายใต้สภาวะความร้อนและความดัน หลังจากอัแล้ว จะมีลักษณะเป็นท่อนยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์ กลางประมาณ 1ซม.
ความชื้นประมาณร้อยละ 14 ซึ่งจะส่งออกไปต่างประเทศเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอาหารสัตว์ เนื่องจากมันเม็ดจะมีปริมาณแป้งสูง (มากกว่าร้อยละ 65) จึงใช้เป็นแหล่งอาหารให้พลังงานของสัตว์


3.อุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง
ในบรรดาประเทศที่ปลูกมันสำปะหลังมาก ๆ เช่น บราซิล ไนจีเรีย อินโดนีเซีย และไทย เป็นต้น ประเทศไทย เป็นประเทศเดียวที่ใช้มันสำปะหลังมาผลิตเป็นแป้งมากที่สุด ถือได้ว่าเป็นผู้ผลิตแป้งมันสำปะหลัง
รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีกำลังความสามารถการผลิตมากกว่า 2 ล้านตัน มัน สำปะหลังต่อปี มีเทคโนโลยีการผลิตการผลิตแป้งมันสูงที่ สุดในบรรดาทุก ๆ ประเทศ และได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน

แป้งมันสำปะหลัง จึงถือได้ว่า เป็น "แป้งไทย" เป็นแป้งที่มีคุณภาพสูงและราคาถูกที่สุด
คุณสมบัติ
แป้งมันสำปะหลังมีคุณสมบัติที่พิเศษ คือ มีความขาวมันวาว เมื่อผสมน้ำและให้ ความร้อนจะเหนียวเป็นกาวใส กล่าวได้ว่า แป้งไทย ขาวใส ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีสี เหมาะสมมากเมื่อนำมาใช้ประโยชน์ โดย

เฉพาะในอาหารจะไม่มีกลิ่นรสแปลกปลอม

3.ใช้ประโยชน์ของแป้งมันสำปะหลัง หลังจากการแปรรูป (ทางเคมีและกายภาพใช้ประโยชน์ในระดับอุตสาหกรรมต่าง ๆ )

1. อุตสาหกรรมสิ่งทอ
2. อุตสาหกรรมไม้อัด
3. อุตสาหกรรมกระดาษ
4. อุตสาหกรรมกาว
5. อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
6. วัสดุภัณฑ์ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ
7. อุตสาหกรรมสารความหวาน
8. อุตสาหกรรมกรดมะนาว
9. อุตสาหกรรมผงชูรส
10.ยารักษาโรค

วิธีการเพาะปลูกมันสำปะหลังที่เหมาะสม


1. การเตรียมดิน
หากดินที่ทำการเพาะปลูกมันติดต่อกันหลายปี ควรปรับปรุงดิน เพื่อรักษาระดับผลผลิตในระยะยาว ด้วยการใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักเปลือกมันชนิดเก่าค้างปี (จากโรงแป้งทั่วไป) ที่หาได้ในท้องถิ่น หรือ ปลูกพืช

ตระกูลถั่วต่าง ๆ หมุนเวียนบำรุงดิน ในกรณีที่พื้นที่ประเภทหญ้าคา ควรใช้ยาราวด์อัพหรือเครือเถาต่าง ๆ ควรใช้ยาสตาร์เรน ฉีดพ่นยาจำกัดเสียก่อนการไถ จากนั้นไถครั้งแรกโดยไถกลบวัชพืชก่อนปลูกด้วย

ผาน 3 (อย่าเผาทำลายวัชพืช) ให้ลึกประมาณ 20-30 ซม. แล้วทิ้งระยะไว้ประมาณ 20-30 วัน เพื่อหมักวัชพืชเป็นปุ๋ยในดินต่อไป ไถพรวนด้วยผาน 7 อีก 1-2 ครั้ง ตามความเหมาะสม และรีบปลูกโดยเร็ว ในขณะที่ดินยังมีความชื้นอยู่

2. การเตรียมท่อนพันธุ์
ใช้ท่อนพันธุ์มันที่สด อายุ 10-12 เดือน ตัดทิ้งไว้ไม่เกินประมาณ 15 วัน โดยติดให้มีความยาวประมาณ 20 ซม. มีตาไม่น้อยกว่า 5 ตา เพื่อป้องกันเชื้อราและแมลง ควรจุ่มท่อนพันธุ์ในยาแคปแทน 1.6 ขีด
(160 กรัม) ผสมร่วมกับมาลาไธออน 20 ซีซี ในน้ำ 20 ลิตร ประมาณ 5 นาที ก่อนปลูก

3. การปลูก
ปลูกเป็นแถวแนวตรง เพื่อสะดวกในการบำรุงรักษาและกำจัดวัชพืช โดยใช้ระยะระหว่างแถว 1.20 เมตร ระยะระหว่างต้น 80 ซม. และปักท่อนพันธุ์ให้ตั้งตรงลึกในดินประมาณ 10 ซม.

4. การฉีดยาคุมเมล็ดวัชพืช
สำหรับการปลูกในฤดูฝนสภาพดินชื้น ควรฉีดยาคุมวัชพืชด้วยยาไดยูรอน (คาแม็กซ์) หลังจากการปลูกทันที ไม่ควรเกิน 3 วัน หรือก่อนต้นมันงอก หากฉีดหลังต้นมันงอก อาจทำให้ต้นมันเสียหายได้ ใช้ยาในอัตรา 6 ขีด (600 กรัม) ผสมน้ำ 200 ลิตร ฉีดพ่นได้ประมาณ 1 ไร่ครึ่ง



5. การกำจัดวัชพืชและการใส่ปุ๋ย
กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 1 ประมาณ 30-45 วัน หลังการปลูก โดยใช้รถไถเล็กเดินตาม หรือ จานพรวนกำจัดวัชพืช ติดท้ายรถแทรกเตอร์ พร้อมทั้งใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 25-50 กก./ไร่ ห่างจากต้นมัน 1 คืบ   

(20 ซม.) จากนั้นใช้จอบกำจัดวัชพืชส่วนที่เหลือ พร้อมกับกลบปุ๋ยไปด้วย หรือใส่ปุ๋ยโดยการขุดหลุม ห่างจากโคนต้น 1 คืบ แล้วกลบดินตามก็ได้ ข้อสำคัญควรใส่ปุ๋ยขณะที่ดินมีความชื้นอยู่ กำจัดวัชพืช
ครั้งที่ 2 ประมาณ 60-70 วัน หลังการปลูก โดยปฏิบัติเช่นเดียวกันกับครั้งแรก กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 3 ตาม ความจำเป็นโดยใช้จอบถาก หรือฉีดพ่นด้วยยากรัมม๊อกโซน (ควรใช้ฝากครอบหัวฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้ยาโดนตาและลำต้นมัน)

6. การเก็บเกี่ยว
ทำการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังในช่วงอายุที่เหมาะสม คือ ประมาณ 10-12 เดือน พร้อมทั้ง วางแผนการเตรียมท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง เพื่อการปลูกในคราวต่อไปส่วนของต้นมันสำปะหลังที่ไม่ใช้ เช่น ใบ กิ่ง ก้าน หรือ ลำต้น ควรสับทิ้งไว้ในแปลง เพื่อให้เป็นปุ๋ยพืชสดในดินต่อไป

Read more >>


มะละกอ พืชสมุนไพรสารพัดประโยชน์และยังสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทยอีกด้วย

ชื่อ : มะละกอ(ภาคกลาง) มะก้วยเทศ (ภาคเหนือ) หมักหุ่ง (ลาว,นครราชสีมา,เลย) ลอกอ (ภาคใต้) กล้วยลา (ยะลา) แตงต้น (สตูล)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 3-6 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลออกขาว ลำต้นตรง ไม่มีแก่น แตกกิ่งก้านน้อย มีรอยแผลใบชัดเจน มียางขาวข้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรอบต้นหนาแน่นที่ปลายยอด ใบรูปฝ่ามือ ขนาด 80-120 ซม. ขอบใบเว้าเป็นแฉกลึกถึงแกนก้าน ก้านใบเป็นหลอด กลมกลวงยาว 25-100 ซม. ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อยาวห้อยลง ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ มีกลิ่นหอม ดอกเพศเมียสีขาว ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ดอกมีขนาดใหญ่ กว่าดอกเพศผู้ ผล รูปกระสวย ผิวเรียบ เปลือกบาง มียางสีขาว ผลสดสีเขียวเข้ม พอสุกเปลี่ยนเป็นสีส้ม รับประทานได้ มีเมล็ดมาก เมล็ดกลม สีดำ มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีขาวใส

ส่วนที่ใช้ : ผลสุก ผลดิบ ยางจากผลหรือจากก้านใบ ราก

สรรพคุณ :

ผลสุก - เป็นยากัน หรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบาย

ยางจากผลดิบ - เป็นยาช่วยย่อย ฆ่าพยาธิ

ราก - ขับปัสสาวะ

มะละกอมีมากมายหลายพันธุ์ แต่มะละกอเป็นพืชที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม จึงมีอยู่ไม่กี่พันธุ์ที่เหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศของบ้านเรา พันธุ์มะละกอที่นิยมปลูกในบ้านเรามีด้วยกันทั้งหมด 4 สายพันธุ์ คือ

1. พันธุ์โกโก้ มีทั้งก้านใบสีน้ำตาลเข้มหรือสีม่วงเข้มหรือสีเขียวอ่อน พวกที่ก้านสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวจะสังเกตเห็นจุดประสีม่วงตามบริเวณลำต้นได้ชัดเจน โดยเฉพาะในขณะต้นอายุไม่มาก พันธุ์โกโก้ เป็นพันธุ์ที่ออกดอกติดผลเร็ว ต้นเตี้ย อวบแข็งแรง มีขนาดผลขนาดเล็กถึงปานกลางผลค่อนข้างยาวผิวเกลี้ยงเป็นมันปลายผลใหญ่ หัวผลเรียว เนื้อแน่นและหนาสีแดงหรือสีชมพูเข้มรสหวานอร่อย

2. พันธุ์แขกดำ เป็นพันธุ์ที่ลำต้นอวบแข็งแรง ต้นเตี้ยให้ดอกติดผลเร็ว ก้านใบสีเขียวอ่อน รูปทรงของผลยาวรีสีผลออกสีเขียวแก่หรือสีเขียวเข้ม มีเนื้อหนาแน่น เมล็ดน้อย ผลสุกเนื้อสีแดงเข้มมีรสหวาน

3. พันธุ์สายน้ำผึ้ง ลักษณะต้นเตี้ย ก้านใบยาวกว่าพันธุ์แขกดำ ผลค่อนข้างโตทรงผลป้าน คือด้านขั้วผลเล็กและขยายออกด้านท้ายผล เปลือกผลสีเขียว เมื่อสุกเนื้อออกสีแดงปนส้ม เนื้อหนาเนื้อแน่น มีเมล็ดมากรสหวาน

4. พันธุ์จำปาดะ เป็นพันธุ์ที่มีลำต้นอวบแข็งแรง ออกดอกติดผลช้ากว่าพันธุ์โกโก้และพันธุ์แขกดำ ใบและก้านใบออกสีเขียวอ่อน ผลมีขนาดยาว ผลดิบมีสีเขียวอ่อนผลสุกเป็นสีเหลือง เนื้อค่อนข้างบางกว่าพันธุ์อื่นและเนื้อไม่ค่อยแน่น


การเตรียมต้นกล้า

มะละกอไม่เหมาะที่จะหยอดเมล็ดลงแปลงปลูกโดยตรง เนื่องจากเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาในขั้นแรกมาก เพราะพื้นที่กว้างขวางและต้นกล้าที่งอกใหม่ๆ ต้องการเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้น การเตรียมต้นกล้ามะละกอให้แข็งแรงก่อนแล้วจึงย้ายปลูกลงแปลงปลูก จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าการหยอดเมล็ดลงแปลงปลูกโดยตรง การเตรียมต้นกล้ามะละกออาจใช้วิธีต่าง ๆ แต่เทคนิคที่ได้ผลดี ทำให้เมล็ดพันธุ์เจริญเติบโตพร้อมเพรียงกัน ใช้สำหรับเพาะปริมาณมาก ๆ มีขั้นตอน ดังนี้คือ

1. เตรียมดินผสมที่จะใช้เพาะเมล็ดให้ร่วนโปร่ง โดยผสมดิน 3 ส่วน ปุ๋ย(ยักษ์เขียว)หรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน และ อินทรียวัตถุ(ขุยมะพร้าว) 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน หากใช้ปุ๋ยคอกนั้นควรเป็นปุ๋ยคอกเก่าที่สลายตัวแล้ว และไม่ร้อน ส่วนอินทรียวัตถุอาจใช้เศษหญ้าสับ แกลบหรือถ่านหรือเปลือกถั่วแทนก็ได แล้วแต่จะหาอะไรได้ในท้องถิ่น

2. นำดินที่ผสมแล้วใส่ถุงขนาด 5 x 8 นิ้ว ที่เจาะรูระบายน้ำ เรียบร้อยแล้วประมาณ 4 รู ตามจำนวนหลุมปลูกในพื้นที่ซึ่งเราคำนวณ

3. เพาะเมล็ดมะละกอ ให้นำเมล็ดพันธุ์มะละกอที่เตรียมไว้แช่ด้วยน้ำอุ่นประมาณ 40 องศาเซลเซียส ทิ้งไว้ 1-2 วัน จนเมล็ดจมอยู่ในน้ำ แล้วแยกเมล็ดเสียที่ลอยน้ำทิ้ง นำเมล็ดพันธุ์ที่จมน้ำมาคลุกด้วยชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดรา ไตรโค-แม็ก อัตรา 200 กรัมต่อเมล็ดพันธุ์ 1 ลิตร แล้วห่อด้วยผ้าสำลีหรือผ้าขาวม้าเปียก คลุมด้วยกระสอบป่าน หรือบ่มไว้ในถาดหรือภาชนะตามสะดวก เปิดกระสอบรดน้ำวันละครั้งให้พอชุ่ม(อย่าให้แฉะหรือน้ำขัง)หลังจากนั้นประมาณ 4-5 วัน(เมล็ดพันธุ์ที่ดีจะงอกเร็ว) รากจะเริ่มแทงออกจากเปลือก ให้คีบเมล็ดที่รากยาวประมาณ 1-3 มิลลิเมตร มาหยอดลงในถุงชำ โดยให้ฝังลงในดินให้ลึกประมาณครึ่งเซนติเมตร เกลี่ยดินปิด ถุงละ 5 เมล็ด ส่วนเมล็ดที่เหลือซึ่งรากยังไม่งอก ให้ห่มผ้าและรดน้ำเหมือนเดิม เปิดผ้าวันเว้นวัน หรือ ทุกวัน เพื่อคีบเมล็ดมาเพาะตามขั้นตอนด้านบน จนหมด

4. นำถุงชำที่หยอดเมล็ดตามขั้นตอนที่ 3 ไปตั้งในโรงเรือนกลางแจ้งที่เตรียมไว้ ตั้งเรียงไว้กลางแจ้งในบริเวณที่สามารถให้น้ำได้อย่างสม่ำเสมอทุกวัน รดน้ำให้ชุ่มทุกเช้าเย็น หลังปลูก

5. เมื่อต้นมะละกอมีใบจริง 2-3 ใบ ให้เลือกกล้าต้นที่แข็งแรงเอาไว้ถอนต้นที่อ่อนแอออก เหลือเพียง 3 ต้น หลังจากนั้น ให้ใช้ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดรา ไตรโค-แม็ก ฉีดพ่นทุก ๆ 10-14 วัน สลับกับการใช้ชีวภัณฑ์ปองกันกำจัดแมลง เมทา-แม็ก ผสมยาจับใบ ฉีดพ่นทุก ๆ 5 วัน ครั้งแรกเมื่อตนกลาเริ่มงอกและหลังจากนั้น ช่วงระยะนี้ให้เพิ่มความแข็งแรงให้ต้นกล้าทำให้เจริญเติบโตได้เร็วขึ้นโดยให้ผสม ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) อัตรา 30 ซีซีต่อน้ำ20 ลิตร ฉีดพ่นหรือผสมน้ำรดทุก ๆ 5-7 วัน จนกว่าจะย้ายกล้าลงแปลงปลูก

6. ย้ายกล้าปลูกหลังต้นมีอายุได้ 30-45 วัน หรือมีใบแท้ประมาณ 6-8 ใบ

การเลือกพื้นที่ปลูก

มะละกอเป็นไม้ผลที่ชอบดินร่วนปนดินทราย ดินเหนียวปนดินร่วน หรือดินร่วนที่มีการระบายน้ำดี มีอินทรีย์วัตถุมาก ไม่ชอบน้ำขัง และควรมีหน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1 เมตร ช่วงระดับความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่เหมาะสมคือ 5.5-7 มะละกอไม่ทนดินเกลือและไม่ทนลม แหล่งปลูกจึงควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลมแรง ถ้าหลีกเลี่ยงในการเลือกพื้นที่ที่มีลมแรงไม่ได้ควรทำแนวไม้กันลมโดยรอบด้วย ระบบไร่ ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 3 x 3 เมตร หรือ 2.5 x 3 เมตร หรือ2.5x2.5 เมตรสำหรับระบบร่องน้ำ

การเตรียมแปลงปลูก

1. ไถพื้นที่ปราบวัชพืช 2 ครั้ง ๆ แรกด้วยไถ 3 ผาน หรือ 4 ผาน ครั้งที่ 2 ให้ย่อยดินให้เล็กด้วยผาน 7

2. วัดระยะแปลงปลูกตามความต้องการ ควรปักหลักเล็ก ๆ ห่างจากหลักหลุมปลูกอีก 2 หลัก โดยปักให้ห่างข้างละ 50 เซนติเมตร

3. ขุดหลุมปลูกเป็นรูปสี่เหลี่ยมให้ขอบหลุมห่างจากหลักกลางประมาณ 25 ซม. และขุดลึก 50 ซม. เอาดินขึ้นไว้บนปากหลุมอย่าให้โดนหลักเล็กทั้ง 2 ซึ่งจะเป็นหลักบังคับระยะปลูก

4. ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) อัตรา 0.5-1 กิโลกรัมต่อหลุม และคลุกเคล้าดินกับปุ๋ยให้เข้ากันดี แล้วใช้จอบกลบดินลงหลุมให้เสมอปากหลุม

การให้ปุ๋ย

ปุ๋ยมะละกอที่เตรียมไว้สำหรับรองก้นหลุมนั้น เพียงพอสำหรับในช่วงแรก แต่หลังจากลงกล้าปลูกประมาณ 21-30 วัน จึงเริ่มให้ปุ๋ยเสริมเพิ่มขึ้น เพื่อให้มะละกอมีการเจริญเติบโตเต็มที่ มีลำต้นที่สมบูรณ์แข็งแรง โดยแบ่งใส่ปุ๋ยดังนี้

ทางดิน
1. ระยะต้นเล็ก ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) จะใส่หลังจากปลูกแล้ว 2-3 อาทิตย์ โดยแบ่งใส่ ครั้งละ 1-2 กำมือ(150-300 กรัม) ต่อต้น ทุก ๆ 20-30 วัน จะทำให้มะละกอเจริญเติบโตได้ดี ให้ผลผลิตเร็วและให้ผลผลิตได้นานกว่า

2. เมื่อเริ่มให้ผลผลิต เมื่อมะละกอติดผลแล้วใช้ปุ๋ยทางดินสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 ในอัตรา 100-150 กรัม(1 กำมือ) ต่อต้น ร่วมกับ ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) ครั้งละประมาณ 0.5-1 กิโลกรัมต่อต้น ทุก ๆ 20-30 วัน จะทำให้ผลผลิตน้ำหนักดีและรสชาติดี เป็นที่ต้องการของตลาด

ทางใบ
1. หลังจากลงย้ายปลูก ใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) ฉีดพ่นในอัตรา 50 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก ๆ 7-10 วัน ทำให้ต้นเจริญเติบโตได้ดี ใบเขียวทน แข็งแรง ทนต่อโรคและป้องกันแมลง(ช่วยลดปัญหาเรื่องเพลี้ยอ่อนได้) และศัตรูพืชต่าง ๆ เข้าทำลาย

2. เมื่อมะละกอเริ่มให้ผลผลิต(ตั้งแต่เริ่มติดดอกจนถึงเก็บเกี่ยวทุกรุ่น) ใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง)ฉีดพ่นช่วงตั้งแต่มะละกอเริ่มแทงช่อดอก อัตรา 30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 5 วัน จนติดผล จะทำให้มะละกอติดดอกและผลมาก ขั้วเหนียว ให้ผลผลิตได้ปริมาณมากและมีคุณภาพดี เมื่อติดผลแล้ว ให้สลับใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรเร่งขนาดผล) อัตรรา 30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 7-10 วัน เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพเนื้อแน่น ผลใหญ่ ได้น้ำหนัก

3. เมื่อมะละกอติดดอกและมีลูกคาบเกี่ยวอยู่ในช่วงเดียวกัน ให้ใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง)และ(สูตรเร่งขนาดผล) ฉีดพ่นสลับกัน ทุก ๆ 7-10 วัน อัตราการใช้ตามข้อ 2 จะทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง ต้นไม่โทรม เก็บเกี่ยวได้นานหลายรอบ

การออกดอกติดผล
มะละกอเป็นพืชที่มีดอก 3 ชนิดอยู่คนละต้น คือ

1. ต้นตัวผู้ จะมีดอกตัวผู้ล้วนเป็นจำนวนมากอยู่บนก้านช่อยาวที่แตกแขนง ถ้าพบควรตัดทิ้งเพราะไม่ให้ผล หรือให้ผลได้ก็ไม่สามารถจำหน่ายได้คุ้มค่าเท่าต้นตัวเมีย หรือต้นสมบูรณ์เพศ

2. ต้นตัวเมีย จะมีแต่ดอกเพศเมียเท่านั้น ดอกจะออกจากส่วนมุมด้านใบติดลำต้นเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ รังไข่มีรูปร่างป้อม ให้ผลค่อนข้างกลม ช่องว่างในผลมีมากจึงไม่ค่อยนิยมเช่นกัน

3. ต้นสมบูรณ์เพศ จะมีช่อดอกติดกันเป็นกลุ่ม ต้นสมบูรณ์เพศจะมีดอกสมบูรณ์เพศและดอกตัวผู้อยู่ในช่อดอกเดียวกัน และดอกสมบูรณ์เพศจะมี 3 ชนิดตามตำแหน่งของเกสรตัวผู้ ดอกสมบูรณ์เพศชนิดธรรมดา (Elongata) ทำให้ผลมีรูปร่างทรงกระบอกสวย เป็นที่นิยมของตลาด ผลที่เกิดจากดอกสมบูรณ์เพศที่ดอกตัวผู้ติดอยู่กับรังไข่ (Intermediate) ทำให้ผลบิดเบี้ยว และดอกสมบูรณ์เพศที่ทำให้ผลเป็นพลูลึก (Pantandria) ผลจากดอกสมบูรณ์เพศสองชนิดหลังนี้ ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดเกษตรกรผู้ปลูก ต้องหมั่นคอยตรวจดูและปลิดออกตั้งแต่ผลยังเล็กๆ นอกจากนั้นแม้ว่ามีดอกสมบูรณ์เพศชนิดธรรมดา แต่ถ้าช่อดอกแตกแขนงและติดผลดก ผลจะเบียดกันมาก ทำให้ผลเล็กได้ จึงขอแนะนำให้เด็ดผลเล็กที่อยู่ที่แขนงข้างออก ให้เอาไว้แต่ผลที่ปลายช่อดอกจึงจะได้ผลใหญ่สม่ำเสมอกันทั้งต้น ถ้าทำทั้งสวนจะทำให้มีขนาดผลเกินมาตรฐาน จะสามารถขายง่ายและป้องกันการโค่นล้มได้อีกด้วย


เทคนิคการสังเกตและตัดแต่งต้น

จากขั้นตอนการเพาะชำนั้น จะเหลือต้นมะละกอ 3 ต้นต่อถุง หรือ ต่อหลุมปลูก เราสามารถเริ่มตัดต้นทิ้งให้เหลือแต่ต้นสมบูรณ์เพศ(กะเทย) ได้โดยให้สังเกตเมื่อมะละกอเริ่มออกดอก ตัดเหลือต้นสมบูรณ์เพศ(กะเทย)ไว้เพียงต้นเดียวจะทำให้ได้ผลผลิตที่ดี และได้ราคา
Read more >>


มะยงชิดผลไม้แสนอร่อยและราคาแพงช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับคนรับประทาน ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักประโยชน์ของมะยงชิดก่อน


ประโยชน์ของมะยงชิด

มะยงชิด เป็นผลไม้ตระกูลเดียวกับมะปราง ผลดิบมีรสชาติเปรี้ยว ผลสุกมีรสหวานอมเปรี้ยว ขนาดของผลจะมีขนาดใหญ่กว่ามะปรางหวาน ผลสุก รับประทานเป็นของว่าง ทำน้ำผลไม้ ทำแยม กวน
ผลดิบ ใช้จิ้มกะปิหวาน น้ำปลาหวาน ใช้ดองและแช่อิ่ม เพราะมีประโยชน์ต่อร่างกาย มีวิตามินซีสูง มีกากไยอาหารมาก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี
คุณค่าทางโภชนาการ : ผลสุก มีกรดอินทรีย์หลายชนิด มีน้ำตาล วิตามินซีและวิตามินเอสูง ธาตุฟอสฟอรัส แคลเซียม และ อื่นๆ
คุณค่าทางยาสมุนไพร : เป็นยาถอนพิษไข้และพิษสำแดง ใบ ตำพอกแก้ปวดศีรษะ ผลมีรสเปรี้ยวอมหวาน แก้เสมหะในลำคอ
ความต่าง “ มะยงชิด มะปรางหวาน”
มะปราง มี 2 ชนิด นั้นคือ มะปรางหวาน ผลสุกมีรสหวานเย็น ผลยาวรี กิโลกรัมมีประมาณ 9 – 20 ผล มะปรางเปรี้ยว ผลสุกลูกมีขนาดใหญ่ หนึ่งกิโลกรัมมีประมาณ 5 – 15 ผล สีผิวมีสีส้มชวนรับประทานแต่รสชาติ

เปรี้ยวมากจนมีคนเก่าคนแก่ท่านกล่าวไว้ว่า “เปรี้ยวจนกาวาง”แต่มะปรางเปรี้ยวผลดิบอ่อน ๆ นำไปแชอิ่ม
มะยง รสชาติมีสองรสในหนึ่งผล - มีหวานอมเปรี้ยว หากรสมะยงรสชิดไปทางหวานมากกว่าเปรี้ยวจะเรียก “ มะยงชิด” หากรสชิดไปทางเปรี้ยวมากกว่าหวาน จะเรียก “ มะยง หรือมะยงห่าง” ผลของมะยงจะมีขนาดใหญ่กว่ามะปรางหวานและใหญ่กว่าไข่ไก่ หนึ่งกิโลกรัมมีประมาณ 8-15 ผล


การปลูกมะยงชิด-มะปรางหวาน และระยะปลูกที่เหมาะสม

เตรียมต้นพันธุ์ดียิ่งมีรากมากยิ่งดี ขุดหลุมปลูก กว้าง 50 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร เอาดินก้นหลุมขึ้นมาผสมกับแกลบและปุ๋ยมูลวัว คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วเอาดิน กลับลงไปรองก้นหลุม เอากิ่งพันธุ์มะยงชิดตั้งปลูกกลบดินที่โคนต้น อย่าให้ดินไปกลบรอยแผลที่ทาบเอาไว้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะทำให้ต้นไม่เจริญเติบโต รอยแผลที่ทาบไว้จะเกิดเชื้อรา ทำให้เน่าได้ ข้อสำคัญอยู่ตรงนี้ พอปลูกแล้วก็รดน้ำอย่าให้ดินโคนต้นแฉะ เพราะมะยงชิดไม่ชอบน้ำขังแฉะจะทำให้เกิดโคนเน่า รดน้ำสังเกตพอดินชุ่มเท่านั้น


ระยะปลูก

ระยะปลูกอยู่ที่ว่าเกษตรกรมีพื้นที่มากน้อยแค่ไหน และชอบที่จะปลูกระยะไหน ปลูกได้เลย หากจะปลูกระบบร่องสวนก็สามารถปลูกได้เช่นกัน
1. ระยะปลูก 8 x 8 เมตร
ระยะปลูกนี้ปลูกได้ไร่ละ 25 ต้น

2. ระยะปลูก 6 x 6 เมตร
ระยะปลูกนี้ปลูกได้ไร่ละ 44 ต้น

3. ระยะปลูก 4 x 4 เมตร
ระยะปลูกนี้ปลูกได้ไร่ละ 100 ต้น


การให้ปุ๋ยและการกำจัดศัตรูพืช

หลังจากลง ปลูกพอต้นตั้งตัวได้ประมาณ 3 เดือน ใส่ปุ๋ยคอกเล็กน้อย 3 เดือนใส่ครั้ง ใช้วิธีใส่น้อยๆ แต่บ่อยครั้ง ปุ๋ยคอกควรเป็นปุ๋ยมูลวัว วิธีใส่ให้โรยรอบๆ ทรงพุ่ม ไม่ต้องขุดดินทำเป็นร่องเวลาใส่ปุ๋ยจะทำให้รากฝอยของต้นขาดได้ เวลาขุดใช้วิธีหว่านปุ๋ยให้รอบต้นจะดีกว่า

ปีแรกมะยงชิดจะไม่ค่อยโต เท่าไรนัก สาเหตุอาจจะต้องให้เวลาการปรับตัวของต้นบ้าง แต่พอปีที่สองที่สาม ต้นจะโตเร็วมาก หลังลงปลูกปีที่ 3 ต้นก็จะให้ผลผลิตแล้ว เมื่อสวนเป็นคราวแรกปล่อยไปตามธรรมชาติก่อน พออีกปีถึงจะเก็บผลผลิตขายได้


เมื่อถึงปีที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิต  แนะนำว่า ในช่วงเดือนมีนาคมให้ใส่ปุ๋ยคอก แล้วก็ตัดแต่งกิ่ง เอากิ่งไม่ดีในทรงพุ่มออก ตัดแต่งให้ในทรงพุ่มโล่งพอสมควร ใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุงดินให้ต้นสมบูรณ์ที่สุดก่อนจะมีผลให้
เก็บเกี่ยว ครั้นถึงเดือนกันยายนหรือกลางเดือนตุลาคม ใส่ปุ๋ย สูตร 8-24-24 ให้เต็มที่อีกครั้ง
ถึงตอนนี้ต้นจะสมบูรณ์มาก ใบเขียวเข้มเป็นมัน พอหมดฝนอากาศหนาวมาเยือน มะยงชิด มะปราง กระทบอากาศหนาว อุณหภูมิราว 20-23 องศาเซลเซียส ประมาณ 7-8 วัน ต้นจะแทงช่อดอกออกมาทันที

เมื่อติดช่อ ดอกแล้ว ให้ฉีดยาป้องกันเชื้อรา 1 ครั้ง พอดอกพัฒนาเป็นผลจุดเล็กๆ ฉีดยาอีกครั้ง โตขนาดเมล็ดถั่วเขียวฉีดยาอีกครั้ง รวมแล้วประมาณ 3 ครั้ง ปล่อยให้ผลโตขนาดผลมะเขือพวง ฉีดยาป้องกันเพลี้ยไฟไรแดง พร้อมกับฮอร์โมน แคลเซียม โบรอน ใครมีสูตรบำรุงผลดีๆ ก็เอามาฉีดตอนนี้แหละ
ฉีด 1-2 ครั้ง ก็พอแล้ว หยุดฉีด ปล่อยให้ผลเจริญเติบโตนั้นจากวันแทงช่อดอกเรื่อยไป 75 วัน สามารถเก็บผลขายได้เลย

ช่วงผลโตขนาดมะเขือพวง ใส่ปุ๋ย สูตร 8-24-24 อีกครั้ง ก่อนเก็บ 10-15 วัน ให้งดการให้น้ำเพื่อให้เนื้อมะยงชิดมีรสหวาน

มะยงชิด ใน 1 ปี จะติดดอกประมาณ 2 รุ่น คือ อากาศหนาวมาเยือนครั้งแรกต้นจะติดดอกรุ่นหนึ่ง และถ้าอากาศหนาวลงมากระทบต้นก็จะติดดอกอีก รวมแล้วสามารถเก็บได้ 2 รุ่น ใน 1 ปี รุ่นที่ 2 นั้นมีมะยงชิดดกมาก

หลังเก็บผลผลิตหมด ก็ตัดแต่งกิ่ง ถึงเดือนมีนาคมราวกลางเดือนใส่ปุ๋ยคอกบำรุงต้น เพื่อให้สร้างผลผลิตในปีต่อไป

สำหรับแมลงวันทองศัตรูมะยงชิดนั้น ต้องทำสวนให้สะอาด ให้โล่งเตียน ไม่ให้มีเปลือกหรือผลตกหล่นตามสวนไว้เป็นที่เพาะพันธุ์แมลงวันทอง

การขยายพันธุ์มะยงชิด มะปรางหวาน

มะยงชิด มะปรางหวานเป็นไม้ผลที่เติบโตช้า ขยายพันธุ์ได้ยาก และใช้เวลาขยายพันธุ์ยาวนานกว่าไม้ผลที่สำคัญบางชนิด การขยายพันธุ์ที่นิยมกันมาก
การเพาะเมล็ด การขยายพันธุ์วิธีนี้ง่าย และสามารถทำได้จำนวนมาก มีข้อเสียที่มีการกลายพันธุ์ และให้ผลผลิตช้า ประมาณ 7-8 ปี


อุปกรณ์ที่ใช้เพาะเมล็ดมะยงชิด มะปรางหวาน
1.เมล็ดพันธุ์มะปรางที่สมบูรณ์
2.ถุงพลาสติกสีดำขนาด 4X7 นิ้ว หรือ 5X9 นิ้ว
3.ดินปลูก ดินร่วนผสมปุ๋ยคอก ขี้เถ้าแกลบ อัตราส่วน 3:1:2
4.บัวรดน้ำ
5.ผ้าพลาสติกปูพื้น
6.ปุ๋ยทางใบ
7.สารเคมีป้องกันแมลง
8.เครื่องพ่นสารเคมี

ขั้นตอน
1.ผสมดินปลูก ดินร่วน 3 ส่วน ปุ๋ยคอก 1 ส่วน ขี้เถ้าแกลบ 2 ส่วน
2.นำผลมะปรางที่จะเพาะล้างเอาเนื้อออก ผึ่งในร่ม ก่อนเพาะควรนำไปจุ่มสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราก่อน การเพาะควรใช้ไม้ไผ่กลมเล็กแทงลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร แล้วนำเม็ดมะปรางมายอดในแนวนอน กลบเมล็ดด้วยดินเพาะ ประมาณ 5-10 วัน เมล็ดจะงอก
3.เมื่องอกเป็นต้นกล้า ควรมีการรดน้ำ และให้ปุ๋ยทางใบ
2.การตอนกิ่ง ควรเริ่มทำการตอนกิ่งช่วงต้นฤดูฝน ควรใช้ขุยมะพร้าวหุ้มดีกว่าใช้ดิน เพราะอุ้มน้ำดีกว่า

วิธีการตอน
1.เลือกกิ่งมะยงชิด มะปรางหวานที่เป็นกิ่งเพสลาด คือผิวเปลือกสีน้ำตาลปนเขียว ลักษณะใบต้องสมบูรณ์ไม่เป็นโรค
2.ควั่นกิ่งตอน โดยหางจากปลายกิ่ง 40 เซนติเมตร โดยเปิดแผลกว้าง 2-3 เซนติเมตร แกะเปลือกออก ขูดเยื่อเจริญออก อาทิ้งแผลไว้ 7 วัน
3.หุ้มกิ่งตอนด้วยขุยมะพร้าว ให้มิดรอยแผล แล้วเอาผ้าพลาสติกหุ้มต้นตออีกขั้นหนึ่ง จากนั้นเอาเชือกรัดหัวท้ายให้แน่นพอควร
4.ทิ้งไว้ 45-55 วัน ก็จะเกิดราก รอจนรากเดินดี จึงตัดไปชำ
5.ชำกิ่งตอนมะยงชิด มะปรางหวาน ควรทำในที่ร่มรำไร กิ่งตอนควรเลี้ยง 1-2 เดือน จึงนำไปปลูก อย่าลืมเอาถุงพลาสติกออกก่อนที่จะนำกิ่งลงชำ
3.การทาบกิ่ง เป็นวิธีขยายพันธุ์มะปราง มะยงชิด ที่เหมาะสมที่สุด เพราะมะปรางมีระบบรากแก้วที่แข็งแรง เหมาะที่ทนสภาพแล้งได้ดี การทาบกิ่งนิยมทาบแบบประกบ คือเฉือนต้นกิ่งพันธุ์ดีเป็นแผลยาว 2-3 นิ้ว เฉือนเข้าเนื้อไม้เล็กน้อยเฉียง 30 องศา ต้นตอใช้วิธีตัดยอดออก เฉือนเป็นปากฉลาม นำต้นตอที่เตรียมไว้ สอดเข้าแผลกิ่งพันธุ์ดี ต้นตอควรได้จาการเพาะเมล็ด อายุต้นตอ 1-2 ปี หรือต้นขนาดหลอดกาแฟ (ปฐพีชล,2529)
4.การเปลี่ยนยอด ควรเปลี่ยนยอดในช่วงฤดูฝน ส่วนฤดูอื่นต้องรดน้ำโคนต้นอยู่เสมอ

วัสดุอุปกรณ์
1.กรรไกรแต่งกิ่ง
2.มีดตอนที่สะอาด
3.ผ้าพลาสติกใส
4.ถุงพลาสติก
5.ต้นมะปราง ต้นเพาะเมล็ดที่ปลูกในสวนอายุ 1-3 ปี
6.กิ่งหรือยอดพันธ์ดี ที่มีตาที่สมบูรณ์ พร้อมที่จะเป็นยอดใหม่
7.กิ่งไม้ทำเพิงชั่วคราว บังขณะต่อยอด

วิธีเปลี่ยนยอด
1.ใช้กรรไกรตัดยอดมะปรางหวาน มะยงชิดพันธุ์ดีที่เราต้องการ มาเปลี่ยนยอดพันธุ์ไม่ดี ที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป ตัดยอดพันธุ์ที่จะต่อยาว 7-15 เซนติเมตร ตัดใบออกให้หมด
2.เมื่อถึงที่สวน ใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่ง ตัดยอดต้นมะปรางที่สมบูรณ์ นำใบมีดโกนที่คมและสะอาดผ่ายอดต้นตอเป็นรูปลิ่ม 2-3 เซนติเมตร
3.นำยอดพันธุ์ดีของมะปราง ที่จัดเตรียมไว้แล้ว มาตัดยอดเหลือยาว 5-7 เซนติเมตร แล้วใช้ใบมีดโกนที่คมและสะอาด เฉือนกิ่งพันธุ์ดีทั้งสองด้านเป็นรูปปากฉลาม แผลยาว 2-3 เซนติเมตร แล้วนำไปเสียบบนยอดต้นตอ ในแนวเยื่อเจริญ
4.นำผ้าพลาสติกใสมาพันแผลบริเวณรอยต่อให้สนิท
5.นำซองพลาสติก หรือซองใส่ยามาคลุมบริเวณที่ต่อยอดมะยงชิด มะปรางหวานให้เลยรอยแผลเล็กน้อยใช้มือรัดปากถุง
6. หลังจากการเปลี่ยนยอดมะปราง ให้ตัดยอดที่เหลือทิ้งให้หมดเพราะอาหารจะได้มาเลี้ยงยอดใหม่ได้เต็มที่
7. หลังจากเปลี่ยนยอดได้ 30 วัน มะปราง มะยงชิดจะมีการแตกใบอ่อนให้เลื่อนปากถุงขึ้นไปข้างบนที่ละน้อยเพื่อให้ยอดมะปรางแทงได้สะดวก และเมื่อเห็นยอดมะปรางปรับตัวเข้ากับอากาศภายนอกได้ดีแล้วให้นำซองยาออกได้
Read more >>


สำหรับคนรักสุขภาพผลไม้อย่างแก้วมังกร น่าจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ช่วยได้ เพราะเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูง แคลอรี่ต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินซี คลอโรฟิลล์ เมล็ดของแก้วมังกรอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวสามารถ
ต่อต้านปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่นทานแล้วนอกจากดับร้อนผ่อนกระหายยังบำรุงสุขภาพผิวพรรณสดชื่น ในสุภาพสตรีจะช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนม ใช้เป็นผลไม้เสริมสุขภาพ และความงามได้เป็นอย่างดี




ส่วนประกอบที่เป็นไฟเบอร์ซึ่งมีปริมาณสูงมากในแก้วมังกรช่วยบำรุงการทำงานของระบบขับถ่ายและในสายเส้นใย ส่วนเนื้อจะมีสารที่เรียกว่า Complex Polysaccharides เป็นตัวที่ช่วยลดการดูดซึมของไขมัน
ประเภทไตรกลีเซอร์ไรด์ ช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด

นอกจากนี้แก้วมังกรยังเป็นผลไม้ที่มีแร่ธาตุมากมายไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี ฟอสฟอรัส โปรตีน แคลเซียม ช่วยบำรุงสุขภาพผิว และระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวาน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคท้องผูก สร้างเสริมระบบการกำจัดของเสียของร่างกาย

ต่อไปเราก็จะมาเรียนรู้วิธีการปลูกและวิธีดูแลรักษา "ต้นแก้วมังกร"

วิธีการปลูก
1. ขั้นตอนการเตรียมเสา
- ใช้ท่อใยหินกว้าง 4-6 นิ้ว สูง 1.5-2.0 เมตร (ตามความชอบและงบประมาณ ท่อละ 40-70 บาท)
- นำท่อมาเจาะรูที่ปลาย 4 รู เพื่อใช้เหล็กเส้นสอดเข้าไป
- ตัดเหล็กเส้นให้ได้ขนาดตามยางรถ ใช้เสาละ 2 เส้น
- นำเหล็กเส้นสอดเข้าไป แล้วนำยางรถมาวาง ใช้ลวดมัดให้แน่นหนา แข็งแรง

2. ขั้นตอนการปลูก(ควรปลูกในฤดูฝน)
- ขุดหลุมให้ได้ขนาด 60x60x60 เซนติเมตร
- นำเสาที่เจาะรูแล้วใส่ลงไปในหลุม แล้วใช้ดินกลบเล็กน้อย
- นำปุ๋ยคอกใส่ลงไปในหลุมจนเกือบเต็มหลุม
- นำต้นแก้วมังกร 4-5 ต้น ปลูกรอบๆ โคนเสาแล้วใช้ดินกลบให้เต็มหลุม
- ใช้เชือกหรือผ้ามัดต้นแก้วมังกรไว้เพื่อไม่ให้ล้มหรือหัก

วิธีการดูแลรักษาต้นแก้วมังกร
1. ขั้นตอนการดูและต้นแก้วมังกร
ต้นแก้วมังเป็นต้นไม้ประเภทเดียวกันกับกระบองเพชร จึงไม่ชอบน้ำ ในฤดูหนาวและฤดูร้อนควรให้น้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ส่วนในฤดูฝนไม่ต้องให้น้ำเลย
- การให้ปุ๋ย ควรให้ปุ๋ยปีละ 2-3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ควรให้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 (ถ้าให้ปุ๋ยคอกรสชาติของแก้วมังกรจะออกหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ที่สำคัญผมชอบด้วย และดินจะไม่แน่น)
ครั้งที่ 2 ในช่วงเดือนมกราคมเป็นการบำรุงต้นให้สมบูรณ์ และใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยสูตร 15-15-15 ครั้งที่ 3 ในช่วงเดือนเมษายนเป็นการเตรียมและเร่งให้ต้นแก้วมังกรออกดอกควรใช้ปุ๋ยสูตรที่มีตัวหลังเยอะหน่อย เช่น 15-17-18 หรือสูตร 10-10-40 เป็นต้น
- ถ้าต้นแก้วมังกรออกยอดสูงพ้นเกิดเสานิดหน่อย ให้ใช้มือเด็ดปลายยอดทิ้ง เพื่อเป็นการทำให้แก้วมังกรแตกยอดออกมากๆ
- หญ้าที่ขึ้นใกล้ๆ โคนต้น ควรถอนออกเป็นประจำ เพื่อให้ต้นแก้วมังกรได้รับอาหารเต็มที่ไม่ต้องแบ่งปันให้กับหญ้า
- เมื่อครบ 2 ปี หลังจากต้นแก้วมังกรออกผลจนหมด ในช่วงเดือนตุลาคมควรตัดแแต่งกิ่งให้สวยงาม เพื่อเป็นการทำให้ต้นแก้วมังกรแตกกิ่งได้มาก และควรตัดทุกๆ 2 ปี

2. ขั้นตอนการเก็บผลผลิต
- ต้องให้ผลแก้วมังกรมีสีแดงทั่วทั้งผล ซึ่งอายุของผลแก้วมังกรตั้งแต่ออกดอกจนเก็บผลได้ประมาณ 2 เดือน
- เมื่อผลแก้วมังกรสุกเต็มที่แล้วให้ใช้กรรไกรตัดกิ่งตัดผลออกมาจากกิ่ง (อย่าให้กิ่งเสียหาย)

การขยายพันธ์
วิธีการขยายพันธ์แก้วมังกรที่ง่ายและสะดวก คือการปักชำแต่มีเทคนิคที่สำคัญหลายประการคือ เกษตรกรต้องเลือกเฉพาะกิ่งที่แก่เท่านั้น อย่าใช้กิ่งอ่อนเพราะจะเน่าเสียก่อน เมื่อได้กิ่งแก่มาปักชำส่วนใหญ่จะรอดตาย 100%
กิ่งแก่ในแต่ละกิ่งสามารถตัดเป็นท่อนได้หลายท่อน ตัดให้มีความยาวประมาณ 12 ฟุต ก่อนที่จะปักชำให้เอาทางโคนปักลง (สังเกตจากทางโคนจะมีหนามตั้งขึ้น) ก่อนที่จะนำกิ่งมาปักชำ นั้น ควรจะนำกิ่งแก่มาจุ๋มในน้ำที่ผสมน้ำยาเร่งราก (ใช้น้ำยาเร่งรากในอัตราเข้มข้นกว่าปกติ)จุ๋มกิ่งแก้วมังกรลงไปในน้ำยาลึกประมาณ 10 ซม.แล้วนำมาตั้งเรียงไว้ในร่มเป็นเวลา 7-10 วัน จนกิ่งเริ่มเหี่ยว ตั้งกิ่งให้ตรง

สำหรับเกษตรกรที่เริ่มปลูกควรจะเลือกซื้อกิ่งประเภทนี้ที่ผ่านการแช่น้ำยาเร่งรากแล้ว เพราะจะสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุดและขนได้ครั้งละปริมาณมาก หลังจากได้กิ่งไปแล้วนำไปปักชำในแปลงเพาะที่เตรียมเอาไว้
สำหรับกิ่งประเภทที่นำลงถุงแล้วจะเคลื่อนย้ายค่อนข้างลำบากและขนได้ครั้งละปริมาณน้อยรวมถึงมีราคาที่แพงกว่าไม่เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ปลูกเป็นแปลงใหญ่

การเตรียมแปลงเพาะชำกิ่งหลังจากปรับพื้นที่ดินให้เรียบแล้วใส่ขี้เถ้าแกลบดำลงในแปลงให้มีความหนาประมาณ 1 คืบ ถ้าแปลงเพาะชำอยู่กลางแจ้งจะต้องมุงด้วยตาข่ายพรางแสงชนิด 60% จากนั้นนำกิ่งที่ชุบน้ำยาเร่งรากแล้วไปปักชำให้ลึกประมาณ 10 ซม
รดน้ำ 2-3 วันต่อครั้งก็เพียงพอแล้ว ถ้ารดบ่อยเกินไปอาจจะทำให้เกิดปัญหากิ่งเน่าได้ หลังจากปักชำไปได้นานประมาณ 1 เดือนก็จะออกรากและนำไปปลูกในแปลงได้

วิธีการสังเกตว่ากิ่งแก้วมังกรที่นำไปปักชำนั้นมีรากที่สมบูรณ์แล้วสังเกตได้ว่าจะมีการแตกยอดอ่อนออกมาใหม่ คัดเลือกเฉพาะกิ่งที่แตกยอดออกทยอยไปปลูก

ต่อไปก็จะเป็นวิธีการปลูกแก้วมังกรในกระถาง

การปลูกแก้วมังกรในกระถางนั้นเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจะปลุกแก้วมังกรไว้รับประทานเองภายในบ้าน ซึ่งการปลูกด้วยวิธีนี้ใช้พื้นที่ในการปลูกน้อย สำหรับอุปกรณ์ที่จะใช้สำหรับปลูกแก้วมังการในกระถาง
มีดังนี้
1.ท่อน้ำทิ้งหรือเสาไม้หรือเสาปูน ขนาดพอเหมาะ
2.กระถาง
3.ค้างด้านบนจะเป็นปูนหรือไม้ก็ได้
4.ดิน
5.ขุยมะพร้าว
6.เชือกฟาง


วิธีปลูกแก้วมังกรในกระถาง

ขั้นตอนแรกให้นำเสาไม้หรือเสาปูนที่เตรียมไว้ตั้งเป็นหลักลงในกระถางที่เตรียมไว้จากนั้นให้นำขุยมะพร้าวใส่ลงในกระถางอัตราส่วน 1 ใน 3 ของกระถางจากนั้นให้นำดินผสมกับแกลบหรือขุยมะพร้าว
เทลงในกระถางจนถึงปากกระถาง นำต้นแก้วมังกรลงปลุกในกระถางให้ติดกับเสาจากนั้นให้นำเชือกมัดต้นแก้วมังกรและเสาติดกัน จากนั้นนำดินมากลบต้นแก้วมังกรให้เรียบร้อย ข้อควรระวังคือ ไม่ควรมัดต้นแก้วมังกรกับเสาให้แน่นจนเกินไป และควรนำด้านแบนผูกติดกับเสาเนื่องจากด้านแบนคือด้านที่จะออกราก

Read more >>


แต่ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักประโยชน์ของมะรุมก่อนว่ามีประโยชน์มากมายหลากหลายแค่ไหน

เดี๋ยวเราจะมารู้จักประวัติคร่าวๆ ของเจ้าต้นมะรุมก่อนนะค่ะ

มะรุมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าMoringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย

ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทาง อีสาน เรียก "ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม" ภาคเหนือ เรียก "มะค้อมก้อน" ชาวกะเหรี่ยง แถบกาญจนบุรีเรียก"กาแน้งเดิง" ส่วน ชาวฉาน แถบแม่ฮ่องสอนเรียก " ผักเนื้อไก่"

มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 3-4 เมตร ทรงต้นโปร่ง ใบเป็นแบบขนนกคล้ายกับใยมะขามออกเรียงแบบสลับ ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าด้านบน ดอกออกเป็นช่อสีขาว ดอกมี 5 กลีบ

ฝักมีความยาว 20-50 เซนติเมตร ลักษณะเหมือนไม้ตีกลอง เป็นที่มาของชื่อต้นไม้ตีกลองในภาษาอังกฤษ (Drumstick Tree) เปลือกฝักอ่อนสีเขียวมีส่วนคอดและส่วนมนเป็นระยะตามความยาวของฝัก เปล ือกฝักแก่มีสีน้ำตาล เมล็ดมีเยื่อหุ้มลักษณะกลมมีสีน้ำตาล เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร เมล็ดแก่สามารถบีบน้ำมันออกมากินได้

มะรุมเป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ การปลูกการดูแลรักษาก็ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน เกษตรกรจึงมักนิยมปลูกมะรุมไว้! ริมรั้วบ้านหรือหลังบ้าน 1-5 ต้น เพื่อให้เป็นผักคู่บ้านคู่ครัวแบบพอเพียงที่ไม่ต้องซื้อหา

คนไทยทุกภาคนิยมนำฝักมะรุมไปทำแกงส้ม ด้วยการปอกเปลือกหั่นฝักมะรุมเป็นชิ้นยาวพอคำ ถือว่าเป็นผักที่ทำแกงส้มคู่กับปลาช่อนอร่อยที่สุด จะต่างกันก็ในรายละเอียดของแกงตามแบบอย่างของแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น แม้แต่ทางใต้ก็นิยมนำมะรุมมาทำแกงส้มปลาช่อน โดยจะใช้ขมิ้นเพื่อดับกลิ่นคาวปลาและเพิ่มสีสันของน้ำแกง ปรุงรสเปรี้ยวด้วยการใส่ส้มแขกแทนน้ำมะขาม และหั่นปลาช่อนเป็นแว่นใหญ่ไม่โขลกเนื้อปลากับเครื่องแกง

ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลา ร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้

ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง 'ผงนัว' กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก

ประโยชน์ของมะรุม

1. ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดจนถึง ๑๐ ขวบ ลดสถิติการเสียชีวิตพิการและตาบอดจากการขาดสารอาหารได้เป็นอย่างดีในกรณีเด็กแรกเกิด
2. ช่วยผู้ปวยโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ สามารถลดการใช้ยาลงโดยความเห็นชอบและการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้ทำการรักษา
3. ใช้ควบคุมความดันโลหิตสูงให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ แต่ทั้งนี้จะต้องช่วยตัวเองด้วยการควบคุมอาหาร การบริหารร่างกายแบบง่าย ๆเช่น เดิน รำมวยไท้ชี่ เป็นต้น มิฉะนั้นแล้ว การบำบัดด้านนี้จะไม่ได้ผลเท่าที่ควร4. ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ถ้ารับประทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ นอกจากจะทำให้มารดามีสุขภาพสมบูรณ์และแข็งแรงแล้ว
5. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานที่ต่ำลงของผู้ป่วยโรคเอดส์ ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ และสามารถมีชีวิตอยู่อย่างคนปรกติทั่วไป
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันมะเร็งและถ้าหาก เป็นอยู่ก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่กับยาแพทย์แผนปัจจุบัน หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ได้รับการรักษาด้วยรังสีการ ดื่มน้ำมะรุมจะช่วยลดการแพ้รังสีช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น และมีร่างกายแข็งแรง
7. ช่วยบรรเทาอาการปวดบวมของโรคเก๊าท์ โรคข้อและกระดูกอักเสบโรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8. ช่วยรักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น
9. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง โรคพยาธิในลำไส้ เป็นต้น
10. รักษาปอดให้แข็งแรงและช่วยรักษาโรคปอดอักเสบ
11. รักษาโรคทางเดินหายใจอักเสบ โรคโพรงจมูกอักเสบ หอบหืด และโรคภูมิแพ้
12. ช่วยเชื่อมต่อกระดูกที่หักได้ผลรวดเร็ว
13. ช่วยรักษาโรคคอหอยพอกชนิดมีพิษ มีผลในเพศหญิงเต็ม 100% ชาย 75% ใบมะรุมผงสามารถรักษาจนผู้เขียนหายขาดจากโรคคอหอยพอก


วิธีการปลูกต้นมะรุม

1) การเตรียมดินและเมล็ด
การปลูกมะรุมขึ้นอยู่กับการเตรียมดินซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญ ดินที่เหมาะกับการปลูกควรจะต้องมีลักษณะเป็นดินดำหรือดินแดงที่ร่วนซุย มีค่า pH ที่ 5.5 – 8.0 ได้รับแสงแดด ไม่ควรเป็นดินเหนียวหรือดินที่มีน้ำท่วมขัง เตรียมดินโดยการไถพรวนลึก 2 ฟุต พร้อมกองหญ้า มูลสัตว์และไบโอเอ็นไซม์เพื่อฟื้นฟูดินให้สมบูรณ์และสามารถต้านทานโรคพืช ควรหว่านไถ 2 ครั้งเพื่อกำจัดและลดปริมาณวัชชพืชก่อนการปลูก เพื่อให้ต้นมะรุมได้รับสารอาหารจากดินเต็มที่ ควรขุดร่องน้ำห่างจากแนวยกร่องประมาณ 10 เซ็นติเมตร ลึก 50 เซ็นติเมตรและฝังกลบด้วยใบไม้ มูลสัตว์ ขี้เถ้าและดิน เพื่อเพิ่มผลผลิต

2) การเพาะปลูก

เมล็ดมะรุมที่เหมาะกับการเพาะปลูกควรเป็นเมล็ดพันธุ์แท้ซึ่งพัฒนาจากเมล็ดแม่พันธุ์โดยตรง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่สูงและสม่ำเสมอ จำนวนฝักมากและจำนวนเมล็ดต่อฝักก็มากด้วย เพื่อให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้านปุ๋ย สารอาหาร เวลา แรงงานและอื่นๆ ที่ใช้ในการเพาะปลูก ขั้นตอนการปลูกเริ่มจากการนำเมล็ดมะรุมพันธุ์แท้มาแช่ไบโอสุพรีมซึ่งเป็นสารเร่งรากประมาณ 8-12 ชั่วโมงก่อนการปลูกเพื่อเร่งการงอก กระตุ้นและเสริมสร้างระบบรากให้แข็งแรง เพื่อให้ตันมะรุมเจริญเติบโต การปลูกด้วยเมล็ดที่ให้ผลดีและรวดเร็วควรปลูกในที่ที่ต้องการเพาะปลูกและไม่โยกย้าย ควรใช้เมล็ดพันธุ์จำนวน 1-2 เมล็ด หยอดในหลุมลึกลงไปประมาณ 3 ซม. ฝังให้ห่างกันประมาณ 1 นิ้วในแต่ละหลุม ระยะห่างแต่ละหลุมประมาณ 2.5 เมตร รดน้ำให้ดินชุ่มอาทิตย์ละหนึ่งหนก็เพียงพอเพื่อไม่ให้ผิวดินแห้ง การรดน้ำมากเกินไปจะทำให้รากเน่าตายได้ เมล็ดจะเริ่มงอกหลังจากหว่านประมาณ 5-7 วัน อัตราการงอกของเมล็ดพันธุ์แท้จะสูงมาก ราว 90-95% หากปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์แท้ 2 เมล็ดและต้นกล้าเจริญเติบโตทั้ง 2 ต้น ให้เก็บไว้ ไม่จำเป็นต้องถอนทิ้ง หากจำเป็นต้องปลูกในถุงพลาสติคดำ ให้บรรจุดินผสมทรายและแกลบลงในถุงดำก่อนหยอดเมล็ดลงในถุงดำถุงละ 2 เมล็ด เสร็จแล้วรดน้ำพอชุ่มอาทิตย์ละครั้ง อย่าให้ถึงกับแฉะมาก ควรบำรุงต้นกล้าเมื่ออายุได้ประมาณ 15 วัน ด้วยการฉีดพ่นไบโอสุพรีมทุก 7 วันเพื่อให้ต้นมะรุมแตกรากได้สมบูรณ์ เร่งการเจริญเติบโต เพิ่มการแตกกอ เมื่อต้นกล้ามะรุมเจริญเติบโตงอกงามและมีอายุประมาณ 1 เดือน ก็จะสามารถย้ายไปปลูกในพืนที่ที่เตรียมไว้ได้ หลังการโยกย้ายใบต้นกล้ามะรุมอาจจะเฉาบ้าง แต่จะยังไม่ตาย ต้นมะรุมจะฟื้นตัวเองภายใน 1 วัน เมื่อต้นมะรุมเติบโตได้ประมาณ 2 เดือนหรือสูงประมาณ 75 เซ็นติเมตรควรเด็ดลำต้นกลางออกเพื่อเร่งการเจริญเติบโต เพิ่มผลผลิต และจำกัดความสูงของต้น หากจำเป็นให้ทำอีกครั้งเมื่อลำต้นสูงประมาณ 4 ฟุต

3) การบำรุงต้นและใบ

ควรหว่านไบโอเอ็นไซม์เดือนละครั้งเพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน ปรับสภาพดินให้คงความร่วนซุย และขจัดเชื้อราทางดินเมื่อใบมะรุมเริ่มมีสีเขียวจัดและเริ่มแตกตาดอกให้บำรุงด้วยไบโอบูมบูมทุก 7 วัน เพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้กับต้นมะรุมและเพิ่มผลผลิตปรกติต้นมะรุมสามารถทนแล้งได้ดีแต่ในฤดูแล้งควรรดน้ำอาทิตย์ละครั้ง และเพื่อเพิ่มผลผลิตควรให้ด้วยระบบน้ำหยดหรือระบบสเปรย์หมอก จะสามารถเพิ่มผลผลิตเป็น 2 เท่า

4) การป้องกันและปราบศัตรูพืช

เมื่อต้นมะรุมมีอายุได้ประมาณ 70 วัน หรือเมื่อพบแมลงและโรคพืช ให้ปราบด้วยน้ำมันสะเดาเข้มข้น ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ไม่เป็นอันตรายต่อชาวไร่และผู้บริโภค

5) การเก็บใบเพื่อนำมาใช้ประโยน์และแปรรูป

ใบมะรุมที่มีประโยชน์นำมารับประทานหรือมาแปรรูปควรเป็นใบที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป หรือควรเป็นใบที่เก็บจากต้นมะรุมที่มีอายุประมาณ 4 เดือน การรับประทานใบสดมีประโยชน์และสะดวกสำหรับผู้ที่สามารถปลูกมะรุมด้วยตนเอง แต่คุณประโยชน์จะไม่เทียบเท่าใบมะรุมแห้งในปริมาณเท่ากัน ยกเว้นวิตามินซีซึ่งในใบสดมีมากกว่าเท่านั้น ใบมะรุมสามารถนำมาแปรรูปเป็นผง และบรรจุในแคปซูล ขั้นตอนการผลิตควรระมัดระวังให้ได้มาตรฐาน GMP อย่างต่ำเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและผู้บริโภค ไม่ใส่สารแปลกปลอมเช่น สี ส่วนอื่นที่ไม่ใช่ใบ ใบมะรุมแห้งที่ผ่านการอบจะไม่มีสีเขียวสดแน่นอน แคปซูลควรผลิตจากสารธรรมชาติที่ย่อยง่ายและไม่ควรทำจากเม็ดพลาสติค ขบวนการอบจะต้องได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันเชื้อราและเชื่อโรคอื่น ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต

6) การเก็บฝักและเมล็ดเพื่อนำมาใช้ประโยชน์และแปรรูป

เป็นที่รู้จักกันมานานแล้วว่าส่วนต่าง ๆ ของมะรุมอ่อนนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด เช่น แกงส้ม แกงอ่อม ไข่เจียว จิ้มน้ำพริก เป็นต้น ส่วนฝักมะรุมแก่สามารถนำเมล็ดมาบริโภคบำบัดโรคได้หลายชนิด รวมทั้งนำมาบีบน้ำมันได้ น้ำมันมะรุมมีประโยชน์มากมายเช่นเดียวกันแต่ควรจะใช้วิธีสกัดเย็น ไม่ใช้ความร้อน แสะสารเคมีใด ๆ จึงจะมีประโยชน์สูงสุด การสกัดน้ำมันเองมีข้อดีที่สำคัญคือทำให้เชื่อมั่นว่าเป็นน้ำมันมะรุมบริสุทธุ์ไม่เจือปนน้ำมันชนิดอื่นที่มีราคาถูกกว่า หรือปลอมน้ำมันอื่นแล้วอ้างว่าเป็นน้ำมันมะรุม เมล็ดมะรุมที่มีคุณภาพดีจะสามารถให้น้ำมันได้ถึง 250-300 ซีซี ต่อเมล็ดมะรุมแห้ง 1 กก. ทั้งนี้อาจขึ้นกับเทคนิคการผลิตและเครื่องสกัดเย็นด้วย

Read more >>


ข้าวโพด

เป็นพืชที่มีประโยชน์หลายอย่างคือ เป็นทั้งอาหารของมนุษย์และสัตว์ มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมาก เพราะนอกจากเพื่อใช้ภายในประเทศแล้ว ยังสามารถส่งออกได้ปีละมากๆ ข้าวโพดที่นิยมปลูกในประเทศไทยมีหลายชนิด เช่น ข้าวโพดหัวบุบ ข้าวโพดหัวแข็ง ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดคั่ว ข้าวโพดข้าวเหนียว ข้าวโพดแป้ง ข้าวโพดอาหารสัตว์ แต่ในการอธิบายเทคนิควิธีการเพาะปลูก จะขอแยกออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ข้าวโพดหวาน
2. ข้าวโพดอาหารสัตว์
3. ข้าวโพดฝักอ่อน


1. ข้าวโพดหวาน
เป็นพันธุ์ที่ชอบดินร่วน หรือชอบดินร่วนเหนียวปนทราย หรือดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบความแห้งแล้งและความชื้นแฉะ ดินที่มีความชื้นธรรมดา ไม่แฉะ ข้าวโพดจะเจริญเติบโตได้ดีมาก มีรายละเอียดสำคัญดังนี้



1.1 พันธุ์ที่นิยมปลูก เป็นพันธุ์ลูกผสม มีเมล็ดสีเหลือง สามารถเก็บเกี่ยวได้ในระยะ 18-20 วัน หลังจากออกไหม


1.2 ฤดูกาลปลูก

- ปลูกได้ตลอดปี ถ้ามีน้ำเพียงพอ

- ฤดูปลูกที่เหมาะคือ ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – เดือนมกราคม หรือเริ่มปลูกในระยะต้นฤดูฝน คือระหว่างเดือนพฤษภาคม - เดือนกรกฎาคม

หลังเก็บเกี่ยวข้าวก็สามารถปลูกในนาได้ จะให้แน่นอน เกษตรกรต้องพยายามสังเกตความเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศด้วยว่า

- ฝนจะเริ่มตกเมื่อไร

- ฝนจะหมดเมื่อไร


จะปลูกในระยะนั้นๆ เพราะข้าวโพดไมชอบความแห้งแล้งหรือมีน้ำมาก ทั้งแห้งและแฉะ จะไม่เหมาะต่อการปลูกข้าวโพด ระยะที่ดีที่จำได้ง่ายๆ คือระยะต้นหรือระยะปลายฤดูฝน


การเตรียมดิน


ปลูกบนพื้นราบ

- ใส่โบกาฉิก่อนไร่ละ 100-200 กิโลกรัมตามสภาพ

- พ่นด้วย EM ขยาย 40-50 ลิตรต่อ 1 ไร่ ผสมน้ำสะอาด 1:500-1,000 ตามสภาพดินแห้งหรือเปียก


ถ้าพื้นดินขาดอินทรียวัตถุ ควรใส่มูลสัตว์หรืออินทรียวัตถุอื่นๆ ด้วย เช่นใบไม้ ซากต้นข้าวโพด ฯลฯ แล้วจึงใส่โบกาฉิและพ่น EM ให้ชื้นโดยทั่วไป แล้วไถดะ หรือไถด้วยผาล 3 และผาล 7 หมักไว้ 7-15 วัน พรวนด้วยผาล 7 อีกครั้ง แล้วยกแปลงปลูกการดำเนินเช่นนี้เพื่อ

- การกำจัดวัชพืช

- เพิ่มปุ๋ยในดิน

- กำจัดเชื้อโรคต่างๆ


การปลูกจะได้ผลดีกว่าการใส่ปุ๋ยภายหลัง และการใส่ปุ๋ยโบกาฉิก่อน ทำให้รากยาว ลึก โค่นล้มยาก และหาอาหารได้เก่ง ทนต่อภาวะอากาศแล้งหรือฝนชุก
ถ้าปลูกไม่มาก มีพื้นที่ 2-3 งาน ให้ได้ผลผลิตสูง ทำดังนี้

- หลังการไถ่ครั้งแรก พรวนแล้วชักร่องให้ลึกตามแปลงที่จะปลูก นำอินทรียวัตถุมาใส่ เช่น หญ้า ฟาง ใบไม้ มูลสัตว์ ฯลฯ แล้ว

- ใส่โบกาฉิ เมตรละ 1-2 กำมือ

- รด EM (1:1:500)

- กลบร่องและยกเป็นแปลง หมักไว้ไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนปลูก

ในแปลงนาหรือแปลงที่มีวัชพืชมากๆ หว่านโบกาฉิ พ่น EM แล้วไถพรวน หญ้าฟางคือปุ๋ย ขอให้ได้หมักและย่อยสลายก่อนด้วย EM


หมายเหตุ

หากมีอินทรียวัตถุและมีโบกาฉิมูลสัตว์เพียงพอ ผลผลิตจะสมบูรณ์มากน้อยตามสภาพ

การใช้เทคนิคเกษตรธรรมชาติด้วย EM จะปรับสภาพให้เป็นปกติ ทั้งสภาพดินโรค ดินกรด ดินด่าง หรือดินขาดสารอาหาร


1.3 วิธีการปลูก


ก่อนปลูก นำเมล็ดพันธุ์แช่ EM (1:500-1,000) นาน 10-20 นาทีเพื่อ

- กำจัดเชื้อโรค สารพิษสารเคมี

- เร่งการงอก

ข้าวโพดหวาน ปลูกหลุมละ 1-2 เมล็ด

ข้าวโพดข้าวเหนียว ปลูกหลุมละ 2-3 เมล็ด



1.4 ระยะระหว่างหลุม

- ถ้าปลูกเป็นแถวเดี่ยวระหว่างหลุม ระยะ 25 เซนติเมตร

- ถ้าปลูกแถวคู่ให้เยื้องกัน ระหว่างหลุม 25-30 เซนติเมตร


1.5 การดูแลรักษา


1. ใส่ปุ๋ย พิจารณาตามสภาพดิน หรือดูที่ต้นกล้า

- ดินดี ต้นกล้าสวยแข็งแรง ใส่เมื่ออายุ 40 วัน

- ดินไม่ดี กล้าไม่สมบูรณ์ ใส่ 2 ครั้ง เมื่อกล้าอายุ 20 วัน และ 40 วัน

- พ่น EM เสมอทุกครั้งที่ใส่โบกาฉิ

2. การให้น้ำ

- ยกร่องให้น้ำสูง 3/4 ของร่อง สัปดาห์ละครั้งหรือตามความเหมาะสม

- แปลงราบ รดด้วยการสาดพ่น รด ราด ทุกๆ 7-10 วัน/ครั้ง เมื่อสักเกตเห็นว่าใบข้าวโพดเหี่ยวนั้นแสดงว่าดินแห้ง ควรรีบให้น้ำ (ยกเว้นฝนตก)



1.6 ศัตรูและการป้องกัน


การได้ใส่โบกาฉิ หรือบำรุงดินสม่ำเสมอ หรือถ้าดินดี พืชจะไม่มีโรคและไม่ถูกรบกวนจากศัตรูพืชด้วย
ในระยะปีแรกๆ ควรใช้ EM5 สม่ำเสมอ เดือนละ 2 ครั้ง พ่นให้ทั่วในระยะแดดร่มลมตก



1.7 การเก็บเกี่ยว

ต้องทำทุกระยะ เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวได้คุณภาพ


- เก็บเกี่ยวหลังออกไหมได้ 50% เป็นเวลา 18-20 วัน หรือสังเกตสีของไหม จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม


- ข้าวโพดฝักบนสุด ฉีกเปลือก เล็บกดเมล็ดจะมีน้ำนมไหล


- ข้าวโพดหวานควรเก็บทั้งหมดภายใน 5-7 วัน


ถ้าเก็บก่อนหรือหลังระยะที่เหมาะสม 1-2 วัน จะทำให้ได้ข้าวโพดคุณภาพไม่ดี


- ใช้มือหักฝักสดให้ถึงบริเวณด้านฝักที่ติดลำต้น


1.8 การปฎิบัติหลังการเก็บเกี่ยว


- รีบนำผลผลิตไว้ที่ร่ม ไม่ให้ถูกแสงแดด


- ไม่ควรกองสมให้สูงมากเกินไป มีอากาศถ่ายเทดี


- ถ้ามีการขนส่งไกลนานเกิน 3 ชั่วโมง ควรมีที่ระบายอากาศ โดยใช้ท่อพีวีซี ขนาด 2-3 นิ้ว ยาว 3-4 เมตร


การดูแลแปลงหลังเก็บเกี่ยว


ถ้าทำได้จะดีมากคือ


- ไม่เผาต้น ควรตีป่นด้วยเครื่อง


- ใส่โบกาฉิ + EM ขยาย พ่น


- ไถกลบซากไว้ในดิน ถ้าจะปลูกต่อก็ควรหมักไว้ก่อน 7-15 วัน แล้วไถพรวนตามที่กล่าวมาข้างต้น


2. ข้าวโพดอาหารสัตว์



ข้าวโพดอาหารสัตว์เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความต้องการเพิ่มทุกปี แต่มีปัญหาเพิ่มทุกปีคือ


- มีพื้นที่เพาะปลูกลดลง แต่ความต้องการเพิ่ม


- ประสิทธิภาพการผลิตต่ำทั้งฤดูกาล และการปนเปื้อนสารพิษสารเคมี


- มีการระบาดของโรคสูง


- ผลผลิตกระจุกตัวในเดือนสิงหาคม – เดือนตุลาคม


- เมล็ดพันธุ์ราคาแพง


2.1 สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม


- พื้นที่ไม่ลาดเอียงมาก


- ดินร่วน ดินเหนียว ดินร่วนทราย


- การระบายน้ำดี


2.2 การเตรียมดิน


- ใส่โบกาฉิไร่ละ 100-200 กิโลกรัม


- สาดพ่นด้วย EM (1:1:500-1,000) ให้ทั่ว (ใช้ EM ประมาณไร่ละ 30-40 ลิตร เป็น EM ขยาย)


- ไถด้วยผาล 3 ต่อด้วยผาล 7


- หมักดินไว้ไม่น้อยกว่า 7 วัน พรวนอีกครั้ง


ขั้นตอนนี้มีประโยชน์มากเพื่อหมักดินให้เกิดปุ๋ย กำจัดวัชพืช และกำจัดเชื้อโรค สารพิษสารเคมีปรับสภาพความเป็นกรด ด่าง ให้เป็นกลาง


- ยกร่องปลูกได้ หรือจะปลูกโดยไม่มีร่องก็ดำเนินการได้


2.3 ฤดูกาลปลูก


- ต้นฤดูฝนเดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม


- ปลายฤดูฝนเดือนกรกฏาคม - เดือนสิงหาคม



2.4 วิธีปลูก


- ระหว่างแถว 75 เซนติเมตร


- ระหว่างต้น 25 เซนติเมตร


- ใส่หลุมละ 1-2 เมล็ด


ก่อนปลูกนำเมล็ดพันธุ์แช่ในน้ำผสม EM 1:500-1,000 เป็นเวลานาน 20-30 นาทีก่อน



2.5 การให้ปุ๋ย


- ใส่โบกาฉิเดือนละครั้ง


- พ่นด้วย EM (1:1:500-1,000) เดือนละครั้ง


- ฮอร์โมนเร่งดอก สารสกัดพืชหมัก (F.P.E.) 20-30 วันต่อครั้ง


2.6 การรักษาป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืช


- EM5 (สุโตจู) ในการใช้เทคนิคเกษตรธรรมชาติต้องใช้เสมอๆ ทุกๆ 15-20 วัน หากงดเคมีได้ในปีต่อๆ ไปไม่ต้องใช้ เพราะเมื่อดินสะอาดโรคต่างๆ จะไม่มี


2.7 การเก็บเกี่ยว


- เก็บเกี่ยวได้เมื่อข้าวโพดแห้งทั้งแปลงไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อไม่ให้มีความชื้นมากเกินไป


- ไม่ควรเก็บหลังฝนตก


2.8 หลังการเก็บเกี่ยว


- ตากให้แห้ง ก่อนการกระเทาะฝัก


- ตากเมล็ดอีกครั้ง


- นำไปจำหน่าย


ไม่ควรปล่อยแปลงทิ้ง เพราะจะถูกเผาเล่นควรป่นต้นข้าวโพด ใส่โบกาฉิไร่ละ 100 กิโลกรัม พ่นด้วย EM เหมือนการเตรียมแปลง ไถด้วยผาล 3 ต่อด้วยผาล 7

จะปลูกพืชอื่นใดต่อก็ได้หรือไม่ปลูกก็ได้เป็นการรักษาดินให้มีคุณภาพ เมื่อถึงฤดูกาลปลูกก็เริ่มเตรียมแปลงใหม่เหมือนเดิม ผืนดินจะไม่เสื่อม ผลผลิตจะได้เพิ่มทุกปี คุ้มกับการลงทุนลงแรง



3. ข้าวโพดฝักอ่อน


เป็นผักส่งออกที่สำคัญของประเทศในรูปผักสดหรือผักบรรจุกระป๋อง หรือการแช่แข็ง แต่การเพาะปลูก การดูแลต้องมีความรอบรู้ รอบคอบ ละเอียดละออพอควร

การเพาะปลูกข้าวโพดฝักอ่อน ต้องใช้แรงงานมาก และผลผลิตก็ต้องมาก เกษตรกรจึงควรร่วมกันผลิตเป็นกลุ่ม มีผู้นำเพื่อการดูแล การดำเนินงานทุกขั้นตอนกระทั้งส่งออก



3.1 พันธุ์ที่นิยม สุวรรณ1, สุวรรณ2, สุวรรณ3, รังสิต1,เชียงใหม่ 90


3.2 การปรับปรุงดิน ชอบดินร่วน ไม่ชอบแฉะมีน้ำขัง การปรับปรุงดินหรือเตรียมแปลง ปฎิบัติเหมือนที่กล่าวมาแล้ว คือ


- โบกาฉิ ไร่ละ 100-200 กิโลกรัม ตามสภาพดิน


- EM ไร่ละ 30-40 ลิตร ผสม 1:1:500-1,000


- ไถดะ ไถแปร (ผาล 3 ต่อด้วยผาล 7 )


- หมักไว้ก่อนไม่น้อยกว่า 7 วัน


- ไถแปร ยกร่อง


3.3 ระยะปลูก


- 50x50 หรือ 40x40 เซนติเมตร


- หลุมละ 3 ต้น


3.4 การดูแล


- การให้น้ำต้องดูแลเอาใจใส่มาก ขาดความชื้นไม่ได้เลย แต่อย่าให้แฉะ ข้าวโพดยังเล็ก ก็ให้ทุกๆ 2-3 วัน ต่อ 1 ครั้ง เมื่อสูงประมาณเข่าให้ 5-7 วัน/ครั้ง


- โบกาฉิ พิจารณาใส่บริเวณที่ข้าวโพดไม่สวย เจริญเติบโตช้า หากข้าวโพดสมบูรณ์แล้วไม่ต้องใส่


- EM ควรพ่นสม่ำเสมอ


- EM5 ก็ควรใช้เป็นประจำ


(ดูรายละเอียดที่ผ่านมาในข้าวโพดหวาน)


3.5 การถอดยอด


ข้าวโพดอายุ 38 วัน หรือมีใบจริงครบ 7 คู่ จะมีช่อดอกตัวผู้โผล่ออกมาจากใบธง (ใบยอด) ให้ดึงช่อดอกออกทิ้ง ต้องระวังต้นให้มั่น การทำเช่นนี้เพื่อป้องกันการผสมพันธุ์กับเกสรตัวเมียที่ปลายฝัก


3.6 การเก็บเกี่ยว


- เก็บเกี่ยวฝักอ่อนได้หลังดึงช่อดอกตัวผู้ออกแล้ว 3-5 วัน สังเกตได้จากไหมที่โผล่พ้นฝักประมาณ 1-2 เซนติเมตร


- ต้องเก็บทุกวัน เพื่อไม่ให้ฝักแก่เกินไป


การปลูกข้าวโพดฝักอ่อน ต้องขยัน ละเอียด มีความรู้ ความเข้าใจในสภาพต่างๆ ที่พอเหมาะพอดี จึงต้องมีหลายคน แต่ก็เป็นที่น่ายินดีกับงานนี้คือ ราคาดี ไม่มีตกค้าง และปฎิบัติได้ตลอดปี

ต้องขยัน อดทน แต่มีรายได้ดี เป็นงานไม่หนัก แต่ไม่ค่อยจะว่าง


3.7 การรักษาคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยว


- หลังเก็บ รีบนำเข้าร่ม หรือโรงเรือนที่ระบายอากาศได้ดี


- ขนส่งควรทำโดยเร็ว


- การปอกเปลือก ต้องชำนาญในการกรีดไม่ให้เกิดแผลที่ฝัก


- ทำความสะอาด


- การส่งออกต้องทำตามเทคนิควิธีอย่างถูกต้อง


3.8 การดูแลแปลงหลังการเก็บเกี่ยว


- ต้นข้าวโพดนำไปเป็นอาหารสัตว์ได้


- แต่ถ้าไม่ทิ้งหรือไม่นำออกไปไหนเลย จะตีป่นคลุมดิน ใส่โบกาฉิ และ EM เหมือนที่กล่าวมาแล้ว


- ไถกลบด้วยผาล 3 ต่อด้วยผาล 7 หมักไว้ดีกว่าการตากแปลง จะทำให้ดินไม่เสื่อม การเพาะปลูกรุ่นต่อๆ ไปจะลดปุ๋ยลงได้เมื่อดินสมบูรณ์


หมายเหตุ


1. ต้นข้าวโพดเป็นพืชสด หากไม่ได้ใช้โบกาฉิ + EM จะทำให้ดินเป็นกรด การไถกลบจึงต้องใส่โบกาฉิและ EM จึงจะเป็นการปรับปรุงบำรุงดิน


2. นำไปเป็นอาหารสัตว์ ควรตัดเป็นท่อนสั้นๆ หมักด้วย EM ก่อน สัตว์จะกินทั้งหมด หากไม่ตัดเป็นท่อนสั้นๆ สัตว์จะกินแต่ใบ
Read more >>